ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ อากาศกำลังเย็นสบาย ไม่หนาวมาก ไม่ต้องใส่เสื้อผ้าเยอะแยะหลายตัวนัก
เราตัดสินใจเลือกเดินทางไปยังจังหวัดซากะ จังหวัดเล็กๆ ในภูมิภาคคิวชู ที่หลายๆ คนยังไม่เคยไป จังหวัดซากะอยู่ในภูมิภาคคิวชู ติดกับจังหวัดฟุกุโอกะซึ่งเป็นเมืองหลัก สามารถเดินทางได้ง่ายทั้งรถไฟ JR รถบัส หรือเช่ารถขับเอง ซากะเป็นจังหวัดที่มีทั้งป่า ภูเขาและทะเล ใครสายธรรมชาติไม่ควรพลาด
เราจึงไปลองค้นหาความสวยงามกับทริปในซากะ 3 วัน โดยเส้นทางนี้แนะนำให้ขับรถเที่ยวค่ะ ในช่วงฤดูใบไม้ผลิเส้นทางสวยงามมากเลย มาดูกันว่าเราจะไปที่ไหนบ้าง
Day 1 Daikozenji Temple, Jofuku Cycle Road, Saga Beef, Ogi Park, Takeo Onsen
ในวันแรก เราเลือกไปวัดเป็นที่แรกของวันเปิดทริป ใช้เวลาขับรถจากสนามบินฟุกุโอกะเพียง 30 นาทีก็ไปถึงที่หมายแรก ซึ่งก็คือวัดไดโคเซ็นจิ (Daikozenji Temple)
วัดตั้งอยู่ใกล้บริเวณเชิงเขาจิคิริยะมะ มีประวัติยาวนานประมาณ 1,300 ปี สถาปัตยกรรมของวัดไดโคเซ็นจิที่มีหลังคามุงจากซึ่งหาดูได้ยากแล้วในญี่ปุ่น ในสวนด้านหลังของวัดเต็มไปด้วยดอกสึสึจิ หรือที่ภาษาไทยเราเรียกกันว่าดอกชวนชมนี่ล่ะ มีกว่า 50,000 ต้น คนจึงเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า “วัดสึสึจิ (วัดอาซาเลีย)” หรือ “วัดดอกชวนชม” นั่นเอง
วัดนี้จึงเป็นจุดชมดอกอาซาเลียที่มีชื่อเสียง นักท่องเที่ยวจึงแห่แหนมาเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ เหล่าหนุ่มสาวยังชอบมาที่นี่กันอีกด้วยเพราะภูเขาแห่งนี้ได้รับเลือกให้เป็น “Lover’s Sanctuary” หรือ “พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของคู่รัก”
ใครต้องการมาชมดอกชวนชม ให้มาในช่วงกลางเดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤษภาคม
ชมดอกไม้จนหัวใจเบ่งบานแล้วเราก็ออกเดินทางกันต่อ ขับไปไม่ทันไรก็มาถึงที่หมายแล้ว ที่ถนนปั่นจักรยานโจฟุกุ (Jofuku Cycling Road)
ช่วงฤดูใบไม้ผลินี้ ต้นซากุระประมาณ 1,200 ต้นตลอดแนวถนนจะบานสะพรั่งพร้อมเพรียงกัน กลายเป็นอุโมงค์สีชมพู จะมีความสุขแค่ไหนหากได้มาปั่นจักรยานไปตามถนนที่มีต้นซากุระล้อมรอบตัวเราไปหมด
ทั้งชมทั้งปั่นจนหิวได้ที่ นี่เลย เป้าหมายหลักที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง เนื้อซากะ Saga Beef ร้าน Kira Honten เนื้อเกรดพรีเมียมของเมืองนี้เค้าขึ้นชื่อระดับประเทศเลยนะ เนื้อลายหินอ่อน แทบไม่ต้องเคี้ยวเพราะละลายฉ่ำลิ้น กินทีไม่อยากให้หมดจานเลย
จากเมืองซากะ ขับรถไปอีกหน่อย ก็ถึงสวนโอกิ (Ogi Park)
ในฤดูใบไม้ผลิตอนนี้ ซากุระกว่า 3,000 ต้น บานสะพรั่งพร้อมกันทั่วบริเวณ ความสวยงามของดอกซากุระทำให้สวนแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็น 1 ใน 100 ของสถานที่ชมดอกซากุระที่มีชื่อเสียงที่สุดในญี่ปุ่น หากมาในช่วงกลางคืน จะได้ชมดอกซากุระพร้อมโคมไฟดอกซากุระยามค่ำ เห็นเป็นเงาสะท้อนบนผิวน้ำงดงามไม่แพ้กัน นอกจากนี้ยังมีสระน้ำ และศาลเจ้า ซึ่งเหมาะแก่การเดินชมเช่นกัน
ชมดอกไม้ทั้งวันอิ่มใจแล้ว เราไปพักผ่อนร่างกายกันต่อที่ ทาเคโอะออนเซ็น (Takeo Onsen)
เมืองน้ำพุร้อนที่มีประวัติยาวนานกว่า 1,300 ปี น้ำพุร้อนของที่นี่มีค่าโซเดียมไบคาร์บอเนตที่มีความเข้มข้นสูง แช่แล้วผิวจะนุ่มนวลเรียบเนียน จึงมีบุคคลสำคัญแวะเวียนมาใช้บริการตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา สัญลักษณ์ของทาเคโอะออนเซ็น คือ Sakura-mon ประตูสีแดงขนาดใหญ่เตะตา ที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1915 และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญแห่งชาติ
สำหรับขาจร ภายในSakura-mon นักท่องเที่ยวสามารถแช่ออนเซ็นได้ที่โรงอาบน้ำสาธารณะหลายแห่ง หลากรูปแบบทั้งแบบสระที่มีอุณหภูมิความร้อนต่างกัน สระที่แยกของแต่ละเพศ รวมทั้งเซานาและห้องอาบน้ำกลางแจ้ง หรือใครที่ชอบความเป็นส่วนตัวก็มีห้องอาบน้ำส่วนตัวให้บริการ แต่ว่ามีไม่กี่แห่งและต้องจองล่วงหน้า
คืนเราเข้าพักกันบริเวณทาเคโอะออนเซ็น พรุ่งนี้ลุยกันต่อ
Day 2 Mifuneyama Rakuen, Ennoji Temple, Yutoku Inari Shrine, Tara-Takezaki Onsen
ออกเที่ยววันที่ 2 เราออกจากทาเคโอะออนเซ็น พุ่งตรงไปยังสวนมิฟุเนะยามะ (Mifuneyama Rakuen) เพียงแค่ไม่กี่นาที
ต้นซากุระนับพันต้นหลากหลายพันธุ์บานสะพรั่งทอดยาวตลอดสระน้ำให้เราได้ตะลึงในความงามนั้น แต่หากมีโอกาสได้มาชมในตอนกลางคืน ก็จะพบอลังการงานประดับไฟดอกซากุระที่ใหญ่ที่สุดในคิวชู จะเห็นภาพสะท้อนของโคมไฟและดอกซากุระบนผิวน้ำงดงามราวกับส่องกระจก สวนแห่งนี้ยังมีการจัดแสดงนิทรรศการศิลปะและเทศกาลต่างๆ เกือบตลอดทั้งปี
นอกจากนี้ยังมีดอกอาซาเลียบานในช่วงกลางเม.ย. อีกด้วย
เรามาเดินสูดอากาศให้เต็มปอดท่ามกลางต้นไม้ ดอกไม้อันสวยสดงดงามแล้ว ห่างออกไปราวๆ 10 นาที ขับต่อไปยังวัดเอ็นโนจิ (Ennoji Temple)
ที่นี่ดอกซากุระ 100 ต้นบานสะพรั่งต้อนรับให้เราเดินผ่านอุโมงค์ดอกซากุระที่สวยงามตลอดทางเดิน 100 เมตรเพื่อไปยังวัด กลีบซากุระปลิวผ่านหน้า ร่วงลงบนทางเดินที่ปูด้วยหินนำไปสู่ประตูหินโค้งโบราณที่ได้รับเลือกให้เป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญ มันช่างงดงามจนเกินจะบรรยาย
เราเดินทางต่อมาอีกราวครึ่งชั่วโมงไปเมืองคาชิมะ ทางตอนใต้ของจังหวัดซากะ เพื่อไปชมซากุระที่ศาลเจ้ายูโตะคุอินาริ (Yutoku Inari Shrine)
ศาลเจ้าแห่งนี้เป็นหนึ่งในสามศาลเจ้าอินาริที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น โดยตัวศาลเจ้า โถงสักการะ ซุ้มประตูทางเข้า ฯลฯ ล้วนมีสีแดงสด เตะตาแต่แรกเห็น
ที่พลาดไม่ได้คือ ในช่วงใบไม้ผลิระหว่างทางเข้าก็เต็มไปด้วยต้นซากุระที่กำลังผลิบานเต็มทางเดิน สร้างความประทับใจเป็นอย่างมาก เราได้ยินเสียงกดชัตเตอร์ของนักท่องเที่ยวดังรัวไม่หยุดหย่อน
นอกจากนี้ ที่ด้านฝั่งตรงข้ามยังมีเนินเขาที่มีดอกอาซาเลียบานในช่วงกลางเม.ย. อีกด้วย
หลังจากชมซากุระจนโลกนี้เป็นสีชมพูแล้ว เราเดินทางไปพักผ่อนที่ ทาระ-ทาเคซากิออนเซ็น (Tara-Takezaki Onsen)
ทาระ-ทาเคซากิออนเซ็น ซึ่งตั้งอยู่บนชายฝั่งทะเลอาริอาเกะ โซเดียมไฮโดรเจนคาร์บอเนตที่มีอยู่ในน้ำแร่ของที่นี่ช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้นและเรียบเนียน น้ำพุร้อนนี้มีอุณหภูมิประมาณ 45.5 องศาเซลเซียส และน้ำพุร้อนธรรมชาติผลิตน้ำได้ถึง 346 ตันในแต่ละวัน น้ำใสและมีความเค็มเล็กน้อย ว่ากันว่าออนเซ็นของที่นี่ยังสามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดของเส้นประสาท ช่วยระบบไหลเวียนของเลือด แก้อ่อนเพลีย และยังช่วยรักษาอาการอื่นๆ อีกมากมาย เราคงต้องลองแล้วล่ะ ว่าแช่แล้วจะหายปวดเมื่อยจริงหรือไม่
นอกจากนี้ อาหารของทาระ-ทาเคซากิออนเซ็นที่พลาดไม่ได้ คือ ปูทาเคซากิ หน้าตาคล้ายปูม้าบ้านเราอยากให้ลองทานกันดูค่ะ
Day 3 Okawachiyama, Oura Rice Terraces, Mikaeri Falls
วันที่ 3 ล้อหมุนไปยังเมืองอิมาริ ขับรถไปประมาณ1ชม.30นาที ไปยังจุดหมายแรกโอคะวะจิยะมะ(Okawachiyama)
หมู่บ้านแหล่งผลิตเครื่องปั้นดินเผา ที่เคยผลิตเครื่องเคลือบเฉพาะสำหรับชนชั้นสูงของญี่ปุ่นและส่งออกเท่านั้น ช่างปั้นจำนวนมากในหมู่บ้านมาจากประเทศเกาหลี โดยถูกนำตัวมาหลังสงครามจบลงในช่วงปลายศตวรรษที่ 16 เครื่องปั้นดินเผาของที่นี่จึงแตกต่างไปจากเครื่องปั้นดินเผาจากที่อื่นๆ และที่ได้รับสมญานามว่า “หมู่บ้านแห่งเตาเผาลับ” ก็เพื่อต้องรักษาความลับของกระบวนการการผลิต ทำให้หมู่บ้านโอคาวาจิยามะต้องตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวนอกใจกลางเมืองอิมาริ
เดิมทีหมู่บ้านแห่งนี้ไม่ได้เปิดให้ผู้คนเข้าชม แต่ตอนนี้คำสั่งนี้ได้ยกเลิกไปแล้ว เราจึงได้มีโอกาสเดินเที่ยวชมหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ และเห็นว่าแทบทุกที่ ทั้งกำแพง สะพาน สิ่งก่อสร้าง ล้วนประดับประดาด้วยเครื่องเคลือบต่างๆ ฝังอยู่เป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่น เราแวะร้านขายเครื่องปั้นดินเผาซึ่งหลายชิ้นสวยงามถูกใจจนอยากซื้อมาให้หมด แต่หากอยากมีเครื่องปั้นดินเผาเป็นของตัวเองก็มีเวิร์กช็อปเครื่องปั้นดินเผาให้ลองทำ ศูนย์หัตถกรรมพื้นบ้านอิมาริ นอกจากนี้เรายังเพลิดเพลินกับธรรมชาติ ทั้งเนินเขา ลำธารใสๆ ต้นไม้ดอกไม้ออกดอกผลิใบตามฤดูกาล เราใช้เวลาอยู่ที่หมู่บ้านเล็กๆ น่ารักแห่งนี้อย่างมีความสุขจนไม่อยากจะกลับเลย
ถึงไม่อยากออกจากหมู่บ้านเตาเผาลับแต่เราก็จำต้องกลับ เพราะท้องร้องซะแล้ว มาถึงเมืองนี้ก็ต้องมาลิ้มลองเนื้ออิมาริ (Imari Beef) เป็นของขึ้นชื่อของที่นี่ เนื้อเกรดพรีเมียมที่ต้องลงทุนเริ่มตั้งแต่การใช้เทคโนโลยีผสมพันธุ์เพื่อให้ได้วัวที่มีคุณภาพ การเลี้ยงดูวัวในสภาพแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติ จนมาเป็น “เนื้ออิมาริ” ผลิตภัณฑ์ชื่อดังที่เป็นตัวแทนของอิมาริ อีกทั้งได้รับรางวัลมากมาย เนื้อสีสด ไขมันแทรกเป็นลายสวยงาม กินแล้วนุ่มและฉ่ำหวานเต็มลิ้น สายเนื้อควรต้องมาลองอย่างยิ่ง
อิ่มแล้ว เราก็มาเที่ยวต่อที่นาขั้นบันไดโออุระ(Oura Rice Terraces)
ที่นี่เป็นหนึ่งใน 100 นาขั้นบันไดที่ยอดเยี่ยมที่สุดในญี่ปุ่น เบื้องหน้าเป็นทะเลสีคราม ถึงแม้นาขั้นบันไดโออุระจะคงความสวยงามอยู่ตลอดทั้งปี แต่ฤดูใบไม้ผลิเป็นช่วงที่ดีที่สุดในการเยี่ยมชม โดยผืนนาจะมีน้ำซึ่งทำให้เกิดภาพสะท้อน จุดชมวิวเป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับช่างภาพที่ถ่ายวิวที่น่าประทับใจตามช่วงเวลาต่าง ๆ ของวันและปี
จุดสุดท้าย ที่อยากแนะนำในทริปฤดูใบไม้ผลิ คือ น้ำตกมิคาเอะริ (Mikaeri Falls)
น้ำตกที่ลดหลั่นตกลงมาจากความสูงกว่า 100 เมตรแห่งนี้ถือเป็นหนึ่งในน้ำตกที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น แต่ช่วงเวลาที่แนะนำอยากให้มา คือ ในช่วงเดือนมิถุนายนซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เส้นทางสู่น้ำตกมีดอกไฮแดรนเยียสีม่วงบานเต็มที่ สวยจนน่าตะลึงกว่าปกติจริงๆ
จบทริป 3 วันในซากะ ช่วงฤดูใบไม้ผลิ ใครรักธรรมชาติ หลงใหลในความงามของดอกไม้ อยากเก็บเกี่ยวภาพซากุระผลิบานสุดลูกหูลูกตา แช่น้ำพุร้อน ชิมเนื้อเกรดพรีเมียม ซากะตอบโจทย์นี้แน่นอน ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ถ่ายทอดออกมาได้ไม่หมด จึงอยากให้ลองมาเยี่ยมเยือนซากะดูบ้าง อย่าเพียงแค่ผ่านไป.